ประวัติสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

sanamball.net

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (manchester united)

เจ้าของฉายาสุดขลัง “ปีศาจแดง” (Red Devil) ถือเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดอันดับต้น ๆ ของเกาะอังกฤษ ด้วยเกียรติยศ/ความยิ่งใหญ่ที่สั่งสมมากว่า 140 ปี เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมาแล้วแทบทุกรายการที่ลงแข่ง อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมสุดยอดนักเตะระดับโลกแทบทุกยุคทุกสมัย  องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกยกให้เป็นสโมสรที่มีแฟนบอลให้การสนับสนุนมากที่สุดในโลกด้วยฐานแฟนบอลที่เรียกตัวเองว่า “เรด อาร์มี่” (Red Army) กว่า 670 ล้านคนทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย  อย่างไรก็ตาม กว่าที่สโมสรแห่งนี้จะผงาดขึ้นมาเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกอย่างทุกวันนี้  แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็มีเรื่องราวและโชคชะตาตามวิถีของฟุตบอลที่มีทั้งยุครุ่งเรืองและยุคตกต่ำ รวมถึงโศกนาฏกรรมที่แสนเจ็บปวดซึ่งยังอยู่คู่กับสโมสรมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น วันนี้เราจะมาเปิดประวัติศาสตร์ของยอดทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์และเรียนรู้เรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อทำความรู้จักกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากยิ่งขึ้น 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับประวัติสโมสรตั้งแต่ยุคก่อตั้ง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (manchester united) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของอังกฤษที่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1878 โดยเริ่มแรกใช้ชื่อว่า “นิวตันฮีท แอลวายอาร์” (Newton Heath LYR) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท “รถไฟแลงคาเชียร์และยอร์คเชียร์” (Lancashire and Yorkshire Railwa) ลงแข่งขันในลีกระดับภูมิภาคแบบกึ่งอาชีพ โดยสวมชุดแข่งสีขาวลายน้ำเงิน ก่อนจะเปลี่ยนสีอีกหลายครั้ง จนกระทั่งในปี 1902 สีประจำสโมสรก็เปลี่ยนเป็น “สีแดง” พร้อมชุดแข่งสีแดง กางเกงสีขาว ซึ่งกลายเป็นชุดแข่งมาตรฐานของสโมสรมานับตั้งแต่นั้น  ส่วนตราสัญลักษณ์ของสโมสรในช่วง 1878-1902 เป็นรูป “รถไฟ” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตรา “ปีศาจแดง” ตั้งแต่ช่วง 1940 มาจนถึงทุกวันนี้  ทั้งนี้ นิวตันฮีท แอลวายอาร์ เข้าร่วมลีกฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเป็นครั้งแรกซีซัน 1892-1893 ในลีก “ดิวิชั่นหนึ่ง” ซึ่งลีกสูงสุดในขณะนั้น แต่อยู่ได้เพียงแค่ 2 ฤดูกาลก็กระเด็นตกชั้นสู่ลีกดิวิชั่นสอง เนื่องจากสโมสรประสบปัญหาหนี้สินจนบริษัทรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์คเชียร์ตัดสินใจขายทีมทิ้ง ทำให้สโมสรต้องตัดชื่อ “แอลวายอาร์” ออกเหลือเพียง  “นิวตันฮีท” แต่ด้วยฐานะทางการเงินที่ร่อแร่ ทำให้ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีในลีกอาชีพ สโมสรไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย จนกระทั่งถึงปี 1902 นิวตันฮีท ถูกขายให้กับกลุ่มนักธุรกิจท้องถิ่นนำโดย “จอห์น เฮนรี เดวีส์” (John Henry Davies) และเปลี่ยนชื่อเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (manchester united)  นับตั้งแต่นั้นสโมสรแห่งนี้ก็เริ่มพัฒนาไปในทางบวกมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่  จบอันดับที่ 2 ในซีซัน 1905-1906 ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกในซีซัน 1907-1908 ต่อด้วยแชมป์ เอฟเอ คัพ ในซีซัน 1908-1909  จนถึงปี ค.ศ.1910 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ย้ายมาลงหลักปักฐานที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด (Old Trafford) พร้อมทั้งคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 2 ในซีซัน 1910-1911 และถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้ายก่อนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะร้างความสำเร็จไปนานถึง 30 ปี 

blackstonecomputing.com

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับยุค “โยโย่” (Yo-Yo) ในประวัติศาสตร์สโมสร ปี 1920-1940

นับตั้งแต่คว้าแชมป์ลีกในซีซัน 1910-1911 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ไม่ประสบความสำเร็จอะไรอีกเลย มิหนำซ้ำในซีซัน 1922 สโมสรมีผลงานที่ย่ำย่ำจนตกชั้นมาเล่นในลีกดิวิชั่นสองอีกครั้ง แม้จะกลับขึ้นมาได้ในปี ค.ศ.1925 แต่ก็ประคองตัวไม่รอดกระเด็นตกชั้นอีกครั้งในปี ค.ศ.1931 ยิ่งไปกว่านั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเผชิญกับปัญหาวิกฤติการเงินอย่างหนักในปี ค.ศ.1934 เนื่องจากนายทุนใหญ่ของสโมสรอย่าง  จอห์น เฮนรี เดวีส์ เกิดเสียชีวิตกะทันหัน ทำให้สโมสรต้องเปลี่ยนมือไปเป็นของ “เจมส์ ดับเบิลยู. กิบสัน” (James W. Gibson) นักธุรกิจเสื้อผ้าที่มาพร้อมเงินลงทุนถึง 40,000 ปอนด์ แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จอะไรมากกว่าวนเวียนอยู่กับการขึ้น ๆ ลง ๆ ลีกดิวิชั่นสองกับลีกสูงสุด โดยในซีซัน 1935-1936 ทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสองได้สำเร็จพร้อมได้สิทธิ์เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกชั้นกลับสู่ลีกดิวิชั่นสองอีกครั้งในฤดูกาลต่อมา ก่อนที่ในซีซัน 1937-1938 จะเลื่อนขึ้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งด้วยการจบอันดับ 2  แต่ทว่านับตั้งแต่ปี 1939-1945 ลีกฟุตบอลอาชีพของอังกฤษงดแข่งขันชั่วคราวเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แถมในเดือนธันวาคม ค.ศ.1940 สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังถูกทิ้งระเบิดเข้าใส่จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนเมื่อลีกฟุตบอลกลับมาแข่งขันอีกครั้งใน ปี ค.ศ.1945 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องไปเช่าสนาม “เมนโรด” สนามเหย้าของทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี คู่ปรับร่วมเมืองเพื่อใช้เป็นสนามเหย้าด้วยราคาถึง 5,000 ปอนด์ต่อปี 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับยุครุ่งเรืองภายใต้การคุมทีมของ “แมตต์ บัสบี้”

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่งตั้ง “แมตต์ บัสบี้” (Matt Busby) เป็นผู้จัดการทีมตั้งแต่ปี ค.ศ.19451971 ตลอดระยะเวลากว่า 25 ปีภายใต้การคุมทีมของ แมตต์ บัสบี้  แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลิกโฉมกลายเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสโมสรหนึ่งในยุคนั้น เริ่มตั้งแต่ คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี ค.ศ.1948 ซึ่งถือเป็นแชมป์รายการแรกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบ 37 ปี ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในซีซัน 1951-1952 หลังจากที่ร้างแชมป์ลีกสูงสุดนานถึง 41 ปี  โดยสิ่งที่สร้างชื่อได้แก่ แมตต์ บัสบี้ ในการสร้างทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากที่สุด คือ การดันนักเตะเยาวชนอายุไม่เกิน 22 ปีของสโมสรขึ้นแทนที่นักเตะรุ่นใหญ่หรือที่เรียกว่า “เดอะ บัสบีเบบส์” (The Busby Babes) ทำให้ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่อุดมไปด้วยนักเตะพลังหนุ่มที่กระหายชัยชนะ จนสามารถคว้าแชมป์ลีกได้อีก 2 สมัยติดต่อกัน ในซีซัน 1955-1956 และ 1956-1957 แต่ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรปด้วยการบุกไปชนะสโมสร เร้ด สตาร์ เบลเกรด (Red Star Belgrade) ในรอบรองชนะเลิศศึก ยูโรเปียน คัพ ปี ค.ศ.1958 ระหว่างที่เครื่องบินกำลังบินขึ้นจากสนามบินที่กรุงมิวนิคก็เกิดอุบัติเหตุจนทำให้ นักเตะและทีมงานส่วนใหญ่ของทีมปีศาจแดงเสียชีวิตไปถึง 23 คน โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกเรียกว่า “โศกนาฏกรรมมิวนิค”  แมตต์ บัสบี้ แทบจะต้องสร้างทีมขึ้นมาใหม่และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในซีซัน 1964-1965 ก่อนจะทะยานไปคว้าแชมป์ ยูโรเปียน คัพ สมัยแรกของสโมสรได้สำเร็จในซีซัน 1967-1968 โดยมี 3 นักเตะสำคัญได้แก่ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (Bobby Charlton), เดนิส ลอว์ (Denis Law) และ จอร์จ เบสต์ (George Best

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ สมัยแรก ปี ค.ศ.1968

blackstonecomputing.com

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับยุครุ่งเรืองภายใต้การคุมทีมของ “อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน”

หลังจาก แมตต์ บัสบี้ วางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างถาวรในปี 1971 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ไม่เคยกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกเลยเป็นเวลาเกือบ 25 ปี แถมในซีซัน 1973-1974 ยังทำผลงานย่ำแย่จนต้องตกชั้นสู่ลีกดิวิชั่นสองในรอบ 36 ปีอีกด้วย แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงแค่ฤดูกาลเดียวก็ในการคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสองในซีซัน 1974-1975 และเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็แทบไม่ประสบความสำเร็จอะไรนอกจากการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้อีก 2 สมัย ในซีซัน 1982-1983 และ 1984-1985 ในยุคของ “รอน แอทกินสัน” (Ron Atkinson) จนกระทั่ง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Alex Ferguson) ถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมในปี ค.ศ.1986 และใช้เวลาปรับปรุงทีมอยู่หลายปี ก่อนจะพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาสู่ยุคแห่งความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ การคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ซีซัน 1989-1990 ตามด้วยแชมป์ ลีกคัพ ซีซัน 1991-1992 ก่อนจะทวงบัลลังก์แชม์ลีกสูงสุดที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อจาก “ดิวิชั่นหนึ่ง” มาเป็น “พรีเมียร์ลีก” กลับมาสู่ถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้อย่างยิ่งใหญ่ในซีซัน 1992-1993 และนั่นก็เป็นเหมือนการเปิดประตูสู่ยุคแห่งความยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหนือเกาะอังกฤษเกือบ 20  เฟอร์กูสัน พาสโมสรคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีก 12 สมัย รวมถึงสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” ได้แก่ แชมป์ พรีเมียร์ลีก, แชมป์ เอฟเอ คัพ และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 2 ในซีซั่น 1998-1999 และคว้า “ดับเบิ้ลแชมป์” ได้แก่ แชมป์ พรีเมียร์ลีก และแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปียนส์ลีก สมัยที่ 3 ในซีซัน 2007-2008  นอกจากนี้ ก่อนที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะวางมือจากการคุมทีมอย่างถาวรในปี 2013 ยังไม่วายทิ้งทวนด้วยการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 13 ได้อย่างยิ่งใหญ่ และถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้าย ก่อนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะร้างแชมป์ลีกนานกว่า 7 ปีจนถึงปัจจุบัน  แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” ปี ค.ศ.1999

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับผลงานในอดีตถึงปัจจุบัน

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสโมสรหนึ่งของอังกฤษ โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเป็นระยะเวลากว่า 140 ปี  แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์มาประดับตู้โชว์ได้แทบทุกรายการที่ลงแข่ง ได้แก่

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่นหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก) 20 สมัย: 1907–1908, 1910–1911, 1951–1952, 1955–1956, 1956–1957, 1964–1965, 1966–1967, 1992–1993, 1993–1994, 1995–1996, 1996–1997, 1998–1999, 1999–2000, 2000–2001, 2002–2003, 2006–2007, 2007–2008, 2008–2009, 2010–2011, 2012–2013

แชมป์ลีกดิวิชั่นสอง (แชมเปียนชิพ) 2 สมัย: 1935–1936, 1974–1975

แชมป์ เอฟเอ คัพ 12 สมัย: 1908–1909, 1947–1948, 1962–1963, 1976–1977, 1982–1983, 1984–1985, 1989–1990, 1993–1994, 1995–1996, 1998–1999, 2003–2004, 2015–2016

แชมป์ ลีกคัพ 5 สมัย: 1991–1992, 2005–2006, 2008–2009, 2009–2010, 2016–2017

แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 3 สมัย: 1967-1968, 1998-1999, 2007-2008 

แชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 1 สมัย: 2016-2017 

แชมป์ สโมสรโลก 1 สมัย: 2008

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไปในปี 2013 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 7 ปี แต่สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ได้เพียงแค่ 3 รายการเท่านั้น ได้แก่ แชมป์ เอฟเอ คัพ ซีซัน 2015–2016 แชมป์ ลีกคัพ ซีซัน 2016-2017 และแชมป์ ยูโรปา ลีก ซีซัน 2016-2017  

Manchester United กับนักเตะระดับตำนานของสโมสร 

Manchester United เป็นหนึ่งในสโมสรที่รวบรวมนักเตะระดับโลกไว้แทบทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะยุคผู้จัดการทีมระดับตำนานอย่าง “แมตต์ บัสบี้” และ “อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” ถือเป็นยุคที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยขาดนักเตะระดับโลกเลยก็ว่าได้ ตัวอย่างเช่น

บ็อบบี้ ชาร์ลตัน” (Bobby Charlton) หนึ่งในตำนานกองหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และยังเป็น 1 ใน 3 แข้งศักดิ์สิทธิ์ในยุค แมตต์ บัสบี้ ลงสนามไปถึง 758 นัด ทำได้ 249 ประตู พาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ถึง 3 สมัย และแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 1 สมัย จนคว้ารางวัล “บัลลงดอร์” ได้ในปี ค.ศ.1966 

“เดนิส ลอว์” (Denis Law) นักเตะศักดิ์สิทธิ์คนที่ 2 ในยุค แมตต์ บัสบี้ ลงสนามรับใช้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปกว่า 404 นัด ทำได้ 237 ประตู พาสโมสรคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 2 สมัย และ ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 1 สมัย จนคว้ารางวัล  “บัลลงดอร์” ได้ในปี ค.ศ.1964 

“จอร์จ เบส” (George Best) ปีกจอมพลิ้วทีมชาติไอแลนด์เป็นนักเตะศักดิ์สิทธิ์คนสุดท้ายในยุค แมตต์ บัสบี้ ลงสนามให้ Manchester United ไปทั้งสิ้น 470 นัด ทำได้ 179 ประตู พาสโมสรคว้าแชมป์ แชมป์ลีกสูงสุด 2 สมัย และ ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 1 สมัย จนคว้ารางวัล  “บัลลงดอร์” ได้ในปี ค.ศ.1968

“ไรอัน กิกส์” (Ryan Giggs) เจ้าของฉายา “ปีกพ่อมด” เป็นหนึ่งในนักเตะชุด “Class of 92” ของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ลงสนามให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปถึง 963 นัด ทำได้ 168 ประตู  พาสโมสรคว้าแชมป์ลีกสูงสุดถึง 13 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2 สมัย 

“คริสเตียโน โรนัลโด” (Cristiano Ronaldo) ปีกจอมสับย้ายมาร่วมทัพปีศาจแดงในปี ค..2003 สืบทอดตำนานเสื้อหมายเลข 7 ด้วยการลงสนามให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 292 นัด ทำได้ 118 ประตู พาสโมสรคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อีก 1 สมัย จนคว้ารางวัล “บัลลงดอร์” ได้ในปี 2008 

blackstonecomputing.com

Manchester United กับมูลค่าทางการตลาด 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกจัดให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าทางการตลาดอันดับ 7 ของโลก โดยเว็บไซต์ “transfermarkt.com” มีมูลค่าราว 799 ล้านยูโร แม้ว่านับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไปในปี 2013 ผลงานโดยรวมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตกลงอย่างน่าใจหายจนไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกอีกเลย แถมบางซีซันก็หลุดตำแหน่งท็อป 4 พลาดโอกาสไปลุยฟุตบอลยุโรปก็มี ทำให้มูลค่าทางการตลาดของทีมปีศาจแดงลดลงไปพอสมควร  แต่ด้วยฐานแฟนบอล “เรด อาร์มี่” กว่า 670 ล้านคนทั่วโลก ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงรักษาตำแหน่งทีมที่มีมูลค่าที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลกไว้ได้ทุกปี ประกอบกับนักเตะภายในทีมที่มีมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะ ปอล ป็อกบา (Paul Pogba) มิดฟิลด์ตัวดีกรีแชมป์โลกที่มีมูลค่าราว 80 ล้านยูโร หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด (Marcus Rashford) ดาวยิงประจำสโมสรในซีซั่นที่แล้วที่มีมูลค่าราว 80 ล้านยูโร รวมถึงมิดฟิลด์ตัวปั้นเกมอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส (Bruno Fernandes) ก็ถูกประเมินว่ามีมูลค่าราว 70 ล้านยูโรเลยทีเดียว 

แฟนบอล “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษพันธุ์แท้ที่ไม่อยากพลาดเรื่องสำคัญเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษ ห้ามพลาดติดตามการรวบรวมประวัติและผลงานของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (manchester united) ตั้งแต่ยุคก่อตั้งถึงปัจจุบัน ด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 140 ปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมสุดยอดนักเตะระดับโลกไว้แทบทุกยุคทุกสมัย ผ่านมาแล้วทั้งชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์และความพ่ายแพ้สุดขมขื่น จน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีแฟนบอลกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกอย่างทุกวันนี้ รับรองว่าคุณจะรู้เรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของสโมสรฟุตบอลที่คุณรักไม่แพ้แฟนบอลต่างประเทศอย่างแน่นอน