chelsea เจ้าของฉายาสุดเกรงขาม “สิงโตน้ำเงินคราม”
ถือเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดสโมสรหนึ่งของอังกฤษ ด้วยประวัติศาสตร์ถึง 120 ปี และยังถือเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสโมสรหนึ่งของอังกฤษอีกด้วย โดยเฉพาะนับตั้งแต่ “โรมัน อับราโมวิช” (Roman Abramovich) มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ผู้บ้าคลั่งกีฬาฟุตบอลเข้าเทคโอเวอร์สโมสร chelsea ด้วยเม็ดเงินกว่า 140 ล้านปอนด์ ในปี ค.ศ.2003 สโมสรจากลอนดอนตะวันตกแห่งนี้ก็กลายร่างเป็นยอดทีมอันดับต้น ๆ ของยุโรปที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกแทบทุกตำแหน่ง แถมยังเดินหน้าคว้าถ้วยแชมป์มาแล้วแทบทุกรายการที่ลงแข่ง จนกระทั่ง chelsea ถูกยกให้เป็น 1 ใน 6 สโมสรยักษ์ใหญ่ของอังกฤษในยุคปัจจุบันที่ขับเคี่ยวช่วงชิงความยิ่งใหญ่กันทั้งในอังกฤษและเวทียุโรปแทบทุกปี อย่างไรก็ตาม กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ chelsea ก็เคยผ่านยุคตกต่ำที่มีทั้งความผิดหวังและล้มเหลวมาเป็นเวลาหลายสิบปีซึ่งน้อยคนจะรู้ ดังนั้น วันนี้เราจึงจะย้อนประวัติศาสตร์ของสโมสร chelsea เพื่อทำความรู้จักกับยอดทีมแห่งนี้ให้มากขึ้น
เชลซี กับประวัติสโมสรในยุคก่อตั้ง
เชลซี เป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลอาชีพที่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ ปี ค.ศ.1905 โดยพี่น้องนักธุรกิจท้องถิ่นตระกูล “เมียร์ส” ได้แก่ “กุส เมียร์ส” (Gus Mears) และ “โจเซฟ เมียร์ส” (Joseph Mears) ซึ่งได้ซื้อ สนามกีฬา “สแตมฟอร์ดบริดจ์” (Stamford Bridge) ในย่าน “ฟูแล่ม” (Fulham) ทางด้านตะวันตกของกรุงลอนดอน โดยเดิมทีพี่น้องตระกูล เมียร์ส ตั้งใจจะให้สโมสร “ฟูแล่ม” (Fulham F.C.) สโมสรฟุตบอลเจ้าถิ่นในย่านนั้นเช่าไว้ใช้เป็นสนามเหย้า แต่กลับเจรจากันได้ไม่ลงตัว ทำให้สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ไม่ได้ใช้ประโยชน์ พี่น้อง เมียร์ส จึงตัดสินใจก่อตั้งสโมสรฟุตบอลของตัวเอง ในตอนแรกมีการเสนอชื่อให้สมาคมฟุตบอลพิจารณาหลายชื่อ ทั้ง ลอนดอน เอฟซี (London FC), เคนซิงตัน เอฟซี (Kensington FC) และ สแตมฟอร์ดบริดจ์ เอฟซี (Stamford Bridge FC) แต่ล้วนถูกปฏิเสธทั้งหมด สุดท้ายจึงมาตกที่ชื่อ เชลซี ซึ่งเป็นชื่อย่านที่อยู่ติดกัน โดยสวมชุดแข่งสีฟ้า กางเกงขาว แต่ทว่าตราสัญลักษณ์เริ่มแรกเป็นรูปทหารเมืองเชลซี จนมีการเปลี่ยนเป็นรูปสิงโตน้ำเงินครามครั้งแรกใน ปี ค.ศ.1953 เป็นต้นมา ทั้งนี้ สโมสร chelsea เข้าร่วมการแข่งขันลีกฟุตบอลอาชีพของอังกฤษในดิวิชั่นสอง เมื่อปี ค.ศ.1905 โดยจบอันดับ 3 ในซีซันแรก แต่ในฤดูกาลต่อ ๆ มา สโมสรกลับวนเวียนอยู่กับการขึ้น ๆ ลง ๆ ลีกดิวิชั่นสองกับลีกสูงสุด เริ่มตั้งแต่ตกชั้นจากลีกสูงสุดในซีซัน 1909-1910 ก่อนจะกลับขึ้นมาใหม่ในซีซัน 1911-1912 แต่ก็ไม่วายกระเด็นตกชั้นอีกครั้งในซีซัน 1914-1915 อย่างไรก็ตาม หลังจบซีซัน 1914-1915 ได้ไม่นาน ลีกฟุตบอลก็ถูกระงับการแข่งชั่วคราวเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนจะกลับมาแข่งอีกครั้งใน ปี ค.ศ.1919 พร้อมเพิ่มทีมเป็น 22 ทีม ทำให้ chelsea รอดจากการตกชั้นไปอย่างหวุดหวิด
ทีม เชลซี ชุดก่อตั้ง ปี ค.ศ.1905
chelsea ในยุคไร้ความสำเร็จกว่า 34 ปี (1920-1954)
chelsea รอดจากการตกชั้นอย่างหวุดหวิดในซีซัน 1919-1920 เนื่องจากลีกดิวิชั่นหนึ่งมีการเพิ่มทีมเป็น 22 ทีม แต่ทว่าทีมจากลอนดอนตะวันตกแห่งนี้ร่วงตกชั้นอีกครั้งในซีซัน 1923-1924 และต้องไปรอถึงซีซัน 1929-1930 จึงได้สิทธิ์เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งด้วยการจบอันดับที่ 2 แม้ว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงในยุค 50 เป็นเวลากว่า 20 ปี chelsea จะสามารถประคองตัวอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้ทุกฤดูกาลโดยไม่พลาดตกชั้นอีกเลย แต่ทว่าก็ถือเป็นยุคแห่งหลุมดำในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ไร้ซึ่งความสำเร็จ ทั้ง ๆ ช่วงเวลาดังกล่าว สโมสรแห่งนี้เต็มไปด้วยนักเตะฝีเท้าดีมากมาย ทั้ง “ทอมมี ลอว์” (Tommy law) สุดยอดกองหลังที่ลงเล่นให้ทีมไปกว่า 292 นัด หรือ “ดิก สเปนซ์” (Dick Spence) ปีกตัวเก่งที่ลงเล่นไปถึง 221 นัด ยิงได้ 63 ประตู รวมถึง “จอร์จ มิลส์” (George Miller) กองหน้าระดับตำนานที่ลงเล่นไปถึง 220 นัด ทำได้ 125 ประตู ถือเป็นนักเตะ เชลซี คนแรกที่ยิงได้เกิน 100 ประตูนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร แต่ทว่า ผลงานที่ใกล้ถ้วยแชมป์มากที่สุด คือ การเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วย เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง ได้แก่ ปี ค.ศ.1932 chelsea ภายใต้การคุมทีมของ “เดวิด คาลเดอร์เฮด” (David Calderhead) ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ก่อนจะพ่ายสโมสร นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (Newcastle United) ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกับใน ปี ค.ศ.1939 ที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ อีกครั้ง แต่ก็พลาดท่าแพ้ให้กับสโมสร กริมสบี้ ทาวน์ (Grimsby Town F.C.) ตกรอบอีกเช่นเคย เมื่อเข้าสู่ยุค 50 สโมสร chelsea เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ได้อีก 2 ครั้งติด ได้แก่ ปี ค.ศ.1951 กับ 1952 แต่ก็พ่ายให้กับ อาร์เซนอล ตกรอบไปทั้งสองครั้ง
chelsea กับแชมป์ลีกครั้งแรกในปี ค.ศ.1954
chelsea แต่งตั้ง “เท็ด เดร็ค” (Ted Drake) เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในปี ค.ศ. 1952 เดร็ค ใช้เวลา 2 ฤดูกาลในการปรับปรุงทีมโดยผลักดันนักเตะเยาวชนและซื้อนักเตะโนเนมแต่ฝีเท้าดีจากลีกล่าง ๆ โดยมีนักเตะที่เป็นกำลังสำคัญ ได้แก่ “จอห์นนี แมคนิโชล” (Johnny McNichol), “อีริก พาร์สันส์” (Eric Parsons), “แฟรงก์ บลันสโตน” (Frank Blunstone), “ปีเตอร์ ซิลเล็ตต์” (Peter Sillett) และ “เค็น อาร์มสตรอง” (Ken Armstrong) จนถึงซีซัน 1954-1955 เดร็ค ก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 50 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร อีกทั้งยังเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้ายในศตวรรษที่ 20 ของ chelsea อีกด้วย เพราะหลังจากนั้นอีกถึง 50 ปี chelsea ก็ไม่เคยคว้าแชมป์ได้อีกเลย จนกระทั่งถึง ปี ค.ศ.2005 โดยหลังจากคว้าแชมป์ลีกสมัยแรก เดร็ค กลับไม่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้อีกเลย จนถูกปลดออกในปี ค.ศ.1961 โดยมี “ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้” (Tommy Docherty) เข้ามารับช่วงต่อในตำแหน่งผู้จัดการทีม ซึ่ง ด็อคเคอร์ตี้ ใช้เวลากว่า 3 ฤดูกาลเพื่อพา chelsea คว้าแชมป์ ลีกคัพ ได้เป็นครั้งแรกของสโมสรในซีซัน 1964-1965 และนั่นก็เป็นเพียงแชมป์รายการเดียวตลอด 7 ปีที่ ด็อคเคอร์ตี้ นั่งเก้าอี้นายใหญ่แห่งถิ่น สแตมฟอร์ดบริดจ์ ก่อนจะลาออกในปี ค.ศ.1967 โดยมี “เดฟ เซ็กตัน” (Save Sexton) เข้ามารับช่วงต่อก่อนจะพา chelsea คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งแรกในซีซัน 1969-1970 ก่อนจะก้าวไปสร้างความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรปด้วยการคว่ำ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่จากสเปนคว้าแชมป์ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ได้เป็นครั้งแรกของสโมสรในซีซัน 1970-1971 อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงซีซัน 1974-1975 เซ็กตัน กลับพา chelsea ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่จนต้องตกชั้นในอันดับรองบ๊วยของตารางคะแนน
ทีม chelsea ชุดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรก ซีซัน 1954-1955
chelsea กับยุครุ่งเรืองภายใต้การทำทีมของ “โรมัน อับราโมวิช”
หลังจากตกชั้นในซีซัน 1974-1975 เชลซี ก็กลับไปอยู่ในสถานการณ์ “โยโย่” อีกครั้ง โดยตลอดยุค 70-80 chelsea ใช้เวลาส่วนใหญ่ขึ้น ๆ ลง ๆ ลีกดิวิชั่นสองกับลีกสูงสุดหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่ ซีซัน 1976-1977 เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดด้วยการจบอันดับที่ 2 แต่อยู่ได้แค่สองฤดูกาลก็จบอันดับบ๊วยจนตกชั้นอีกครั้งในซีซัน 1978-1979 ก่อนที่ในซีซัน 1983-1984 จะเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาด้วยการคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสองได้เป็นครั้งแรกของสโมสร แต่ก็มีอันให้ต้องระเห็จตกชั้นไปอีกในซีซัน 1987-1988 และกลับขึ้นมาใหม่ในซีซัน 1988-1989 ด้วยการคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสองสมัยที่ 2 หลังจากนั้น chelsea ก็ไม่เคยต้องกระเด็นตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลย แถมยังคว้าแชมป์รายการต่าง ๆ ได้ประปรายในช่วงยุค 1990-2000 ไล่ตั้งแต่ แชมป์ เอฟเอ ในซีซัน 1996-1997 และ 1999-2000, แชมป์ ลีก คัพ ในซีซัน 1997-1998, แชมป์ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ในซีซัน 1997-1998 และแชมป์ ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ ในซีซัน 1998 แต่ chelsea ก็ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกเลย จนกระทั่ง “โรมัน อับราโมวิช” มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเข้ามาซื้อสโมสรพร้อมเงินทุนมหาศาลในปี ค.ศ.2003 chelsea ก็กลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่ที่เดินหน้าคว้าแชมป์เป็นว่าเล่น เริ่มตั้งแต่ “โชเซ มูรินโญ” (José Mourinho) ถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมในปี ค.ศ.2004 ก็พาสโมสรคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 2 สมัยติดต่อกันในซีซัน 2004-2005, 2005-2006 และแชมป์ เอฟเอ คัพ 1 สมัยในซีซัน 2006-2007 รวมถึง แชมป์ ลีกคัพ อีก 2 สมัยในซีซัน 2004-2005, 2006-2007 ก่อนที่ “การ์โล อันเชลอตตี” (Carlo Ancelotti) กุนซือชาวอิตาเลี่ยนจะเข้ามาสร้างความยิ่งใหญ่ต่อในปี 2009 ด้วยการพา chelsea คว้า “ดับเบิ้ลแชมป์” ในซีซัน 2009-2010 ได้แก่ แชมป์ พรีเมียร์ลีก และแชมป์ เอฟเอ คัพ และขึ้นถึงจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรในยุคของ “โรแบร์โต ดี มัตเตโอ” (Roberto Di Matteo) ที่พา chelsea โค่น บาเบิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากเยอรมันในรอบชิงชนะเลิศคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้อย่างยิ่งใหญ่ในซีซัน 2011-2012
chelseaกับผลงานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
แม้ว่านับตั้งแต่คว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกในซีซัน 2011-2012 chelsea จะไม่เคยคว้าแชมป์รายการนี้ได้อีกเลย แต่ทว่าก็ยังสามารถคว้าแชมป์ถ้วยเล็กของยุโรปอย่าง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ได้ถึง 2 สมัย ในยุคของ “ราฟาเอล เบนิเตซ” (Rafael Benítez) ซีซัน 2012 กับ 2013 และในยุคของ “เมาริซิโอ ซาร์รี่” (Maurizio Sarri) ซีซัน 2018-2019 ทั้งนี้ หากนับผลงานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน chelsea ฝากผลงานไว้ประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษได้แก่
แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่นหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก) 6 สมัย: 1954-1955, 2004-2005, 2005-2006, 2009-2010, 2014-2015, 2016-2017
แชมป์ลีกดิวิชั่นสอง (แชมเปียนชิปในปัจจุบัน) 2 สมัย: 1983-1984, 1988-1989
แชมป์ เอฟเอ คัพ 8 สมัย: 1969-1970, 1996-1997, 1999-2000, 2006-2007, 2008-2009, 2009-2010, 2011-2012, 2017-2018
แชมป์ ลีกคัพ 5 สมัย: 1964-1965, 1997-1998, 2004-2005, 2006-2007, 2014-2015
แชมป์ แชริตี ชิลด์/คอมมูนิตี ชิลด์ 4 สมัย: 1955, 2000, 2005, 2009
แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย: 2011-12
แชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 2 สมัย: 2012-2013, 2018-2019
แชมป์ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 2 สมัย: 1970-1971, 1997-1998
แชมป์ ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 1 สมัย: 1998
chelseaกับนักเตะระดับตำนานของสโมสร
chelsea ถือเป็นสโมสรที่มีนักเตะระดับโลกสร้างชื่อฝากผลงานจนเป็นตำนานไว้มากมาย โดยเฉพาะในยุคหลัง ค.ศ.2000 ที่ chelsea แทบไม่เคยขาดนักเตะระดับโลกเข้ามาเสริมทีมเลยแม้แต่ปีเดียว โดยนักเตะที่ถือเป็นตำนานคนสำคัญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้แก่
“บ็อบบี้ แทมบลิง” (Bobby Tambling) ศูนย์หน้าจอมพังประตู ค้าแข้งอยู่กับ chelsea ตั้งแต่ ค.ศ.1959-1970 ลงเล่นไปถึง 370 นัด ทำได้ 202 ประตู ช่วยสโมสรคว้าแชมป์ ลีกคัพ สมัยแรกมาครองได้ในซีซัน 1964-1965
“รอน แฮร์ริส” (Ron Harris) ตำนานกองหลังที่ค้าแข้งกับ chelsea เกือบ 20 ปี ลงสนามไปถึง 795 นัด ทำได้ 14 ประตู ถือเป็นนักเตะ เชลซี ที่ลงสนามมากที่สุดตลอดกาลของสโมสรมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเป็นกำลังสำคัญช่วยทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีกคัพ 1 สมัย, แชมป์ลีกดิวิชั่นสอง 2 สมัย และแชมป์ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ อีก 1 สมัย
“รอย เบนท์ลีย์” (Roy Bentley) ตำนานดาวยิงที่ถูกยกให้เป็นกัปตันทีมตลอดกาลของ chelsea ลงสนามรับใช้สโมสรระหว่างปี ค.ศ.1947-1957 รวมแล้วกว่า 367 นัด ทำได้ถึง 152 ประตู และยังถือเป็นนักเตะชุดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรในซีซัน 1954-1955 อีกด้วย
“แฟรงค์ แลมพาร์ด” (Frank Lampard) อดีตมิดฟิลด์ตีนระเบิดที่ปัจจุบันนั่งเก้าอี้นายใหญ่ในถิ่น สแตมฟอร์ดบริดจ์ โดย แลมพาร์ด ลงสนามรับใช้ chelsea ตั้งแต่ ปี 2001-2014 รวมแล้วกว่า 648 นัด ซัดไป 211 ประตู ถือเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสรจนถึงปัจจุบัน ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย และ ยูโรปา ลีก 1 สมัย
“จอห์น เทอร์รี่” (John Terry) ตำนานกองหลังกัปตันทีมที่ค้าแข้งอยู่กับ chelsea เกือบ 20 ปี ตั้งแต่ปี 1998-2017 ลงสนามไปทั้งสิ้น 717 นัด ทำได้ 67 ประตู ช่วยสโมสรคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 5 สมัย, ลีกคัพ 3 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย และ ยูโรปา ลีก 1 สมัย
“ดิดิเยร์ ดร็อกบา” (Didier Drogba) ศูนย์หน้าจอมถล่มประตูเจ้าของฉายาสุดแหวก “ไอ้แมลงสาบ” ค้าแข้งอยู่กับ chelsea ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2004-2012 และ 2014-2015 ลงสนามไปทั้งสิ้น 381 นัด ทำได้ 164 ประตู เป็นอาวุธหนักช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 3 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย
chelseaกับมูลค่าทางการตลาด
Chelsea ถูกจัดให้เป็นสโมสรที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดอันดับที่ 4 ของโลก ด้วยมูลค่ารวมกว่า 917 ล้านยูโร ปัจจัยสำคัญมาจากเจ้าของทีมอย่าง “โรมัน อับราโมวิช” มหาเศรษฐีชาวรัสเซียที่มีทรัพย์สินกว่า 12,000 ล้านดอนลาร์สหรัฐฯ ทุ่มงบแบบไม่อั้นเพื่อยกระดับทีม Chelsea อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เข้ามาเป็นเจ้าของในปี ค.ศ.2003 จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Chelsea กลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งของอังกฤษและยุโรป ทำให้ฐานแฟนบอลและมูลค่าทางการตลาดของสโมสรเพิ่มขึ้นแทบทุกปี แถมในช่วงตลาดซื้อ-ขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ 2020 Chelsea ยังเสริมทัพครั้งมโหฬารด้วยการคว้าตัว เบน ชิลเวลล์ (Ben Chilwell), ทิโม แวร์เนอร์ (Timo Werner), ไค ฮาเวิร์ตซ์, (Kai Havertz) และ ฮากิม ซิเย็ค (Hakim Ziyech) ซึ่งนักเตะที่ว่ามาทั้งหมดนี้มีมูลค่ารวมกันถึง 200 ล้านปอนด์ ยังไม่รวมถึงนักเตะระดับดาวดังที่มีอยู่แล้วอย่าง คริสเตียน พูลิซิช (Christian Pulisic) ที่ถูกประเมินว่ามีมูลค่าราว 60 ล้านยูโร รวมถึง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (N’Golo Kanté) ที่มีมูลค่าราว 80 ล้านยูโร
แฟนบอล “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษพันธุ์แท้ที่ไม่อยากพลาดเรื่องสำคัญเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษ ห้ามพลาดติดตามการรวบรวมประวัติและผลงานของสโมสรฟุตบอล chelsea เจ้าของฉายาสุดขลัง “สิงโตน้ำเงินคราม” ตั้งแต่ยุคก่อตั้งถึงปัจจุบัน ด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 120 ปี จนมีนักเตะระดับโลกเคยค้าแข้งอยู่ด้วยมากมายนับไม่ถ้วน ผ่านมาแล้วทั้งยุครุ่งเรืองและยุคตกต่ำ จน เชลซี กลายมาเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ระดับแถวหน้าของทวีปยุโรปที่มีแฟนบอลกระจายอยู่ทั่วโลกอย่างทุกวันนี้ รับรองว่าคุณจะรู้เรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของสโมสรฟุตบอลที่คุณรักไม่แพ้แฟนบอลต่างประเทศอย่างแน่นอน